การศึกษาที่ไม่ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ ในประเทศที่มีรายได้ปานกลาง

ข้อมูลจาก ILO, Global Employment Trends for Youth 2024 รายงานว่า

แม้ว่าปัจจุบันนี้ (ปี ค.ศ. 2023) เยาวชนทั่วโลกมีโอกาสที่จะเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมมากขึ้นถึง 48% เทียบกับอัตรา 38% ในปี ค.ศ. 2000 แต่ไม่มีงานรองรับ จึงทำให้ช่องว่างการจ้างงานในกลุ่มเยาวชนที่มีทักษะกว้างขึ้น และมีผลทำให้ค่าตอบแทนโดยเฉลี่ยลดลง จึงจำเป็นที่ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือเพื่อผยุงรายได้ให้กับแรงงานส่วนนี้ ก่อนที่จะสูญเสียแรงงานส่วนนี้ไป หรือ สนับสนุนให้มีจำนวนผู้มีทักษะเฉพาะด้านเหมาะสมกับความต้องการของตลาด

โพสท์ใน ทั่วไป | ใส่ความเห็น

ดัชนีประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน

องค์การแรงงานระหว่าประเทศ (International Labor Organization, ILO) เปรียบเทียบดัชนีประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานในประเทศต่างๆ โดยวัดจากผลผลิต (Gross Domestic Product, GDP) ที่แรงงานหนึ่งคนผลิตได้ในช่วงเวลาที่กำหนด (เท่ากันในการวัดในทุกประเทศ) (https://ilostat.ilo.org/topics/labour-productivity/) ผลปรากฎว่าแรงงานในประเทศ Luxembourg สามารถผลิตได้สูงสุดถึง 166.1 เหรียญสหรัฐอเมริกา ตามด้วย Ireland Norway Guyana และ Denmark ซึ่งผลิตได้ 139.1 123.6 113.9 และ 97.0 เหรียญสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ แรงงานในประเทศไทยผลิตได้เพียง 18.5 เหรียญสหรัฐอเมริกา ใกล้เคียงกับแรงงานในประเทศศรีลังกาที่ผลิตได้ 18.0 เหรียญสหรัฐอเมริกา ในระยะเวลาที่กำหนด เป็นที่น่าสังเกตว่า แต่ละประเทศมีการผลิตสินค้าที่ต่างกัน มูลค่าผลผลิตจึงต่างกัน การวัดประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานโดยใช้ GDP เป็นเกณฑ์อาจจะไม่เพียงพอ คงต้องพิจารณาดัชนีฮื่นควบคู่กันไปด้วย

โพสท์ใน ทั่วไป | ปิดความเห็น บน ดัชนีประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน

ความสามารถในการแข่งขัน

คงไม่น่าแปลกใจที่เห็นสถิติความสามารถในการแข่งขันจากการจัดอันดับของ IMD ซึ่งย่อมาจาก International Institute for Management Development ในปี ค.ศ. 2025 ประเทศสวิสเซอร์แลนด์อยู่ในอันดับ 1 และประเทศสิงคโปร์อยู่ในอันดับ 2 จากการสำรวจ ทั้งสิ้น 69 ประเทศ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ที่น่าเป็นกังวลอย่างยิ่งคือ ความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 55

Source: imd.org

ที่มา: การจัดระบบข้อมูลเพื่อสนับสนุน การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ด้านการศึกษา /สำนักวิจัยและพัฒนาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

โพสท์ใน ทั่วไป | ปิดความเห็น บน ความสามารถในการแข่งขัน

ระบบประกันสุขภาพ

หลายครั้งที่มีความไม่สะดวกในการใช้บริการรักษาพยาบาล มักมีข้อสงสัยว่าระบบประกันสุขภาพของไทยดีพอหรือไม่ บางครั้งที่มีข่าวว่าพลเมืองของประเทศเพื่อนบ้านมาใช้บริการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของไทย บุคคลากรทางการแพทย์ของไทยลาออกเพราะงานหนักเกินไป ยิ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบรักษาพยาบาลของไทยว่าเหมาะสมเพียงใด จึงเป็นที่น่าสนใจที่จะศึกษาระบบรักษาพยาบาลของประเทศอื่นๆ ระบบประกันสุขภาพที่ได้รับการพัฒนามาเป็นเวลานานอย่างเช่นในทวีปยุโรปและอเมริกาก็เป็นที่น่าสนใจ คำถามแรกที่มักจะถามกัน คือ ค่าบริการรักษาพยาบาลในทวีปยุโรปและอเมริกาฟรีหรือไม่ [https://www.investmentvisa.com]

แม้ว่าประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปอยู่ภายใต้สหภาพยุโรป (European Union) ซึ่งเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์โดยรวม เพื่อให้ประเทศสมาชิกนำไปกำหนดเป็นกฎหมายและระเบียบต่อไป แต่ระบบดูแลสุขภาพของแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกันทีเดียว

ความจริงอีกข้อหนึ่งคือ ค่าบริการสุขภาพไม่ฟรีอย่างที่เข้าใจกัน ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะได้รับการอุดหุนจากการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งมาจากเงินภาษีจากประชากรในท้องถิ่น

ในหลายประเทศ เช่น กรีก เยอรมนี อิตาลี สเปน และโปรตุเกส คนไข้แทบจะไม่ต้องจ่ายเพิ่มเลย หรือถ้ามีค่าบริการเพิ่มเติม ก็เป็นการจ่ายร่วม (co-payment) ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะไม่มากนัก และสามารถจ่ายได้

บางประเทศในยุโรปมีทางเลือกด้วยบริการสุขภาพเอกชน แต่ค่าบริการจากบริการสุขภาพเอกชนไม่สูงมาก โดยเฉลี่ย 30 ยูโรต่อเดือน

การบริหารจัดการของประเทศต่างๆแตกต่างกันไป ได้แก่

ระบบรัฐรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแต่ผู้เดียว (The Single-Payer or the National Health Insurance Model) เป็นรูปแบบการบริหารจัดการโดยเอกชน รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ประเทศที่บริหารจัดการแบบนี้คือ นอเวย์ สวีเดน เดนมาร์ก และฟินแลนด์

ระบบจัดการโดยรัฐ (The Beveridge or Government Owned and Run Model) เป็นรูปแบบการบริหารจัดการโดยรัฐ รวมถึงการจัดหาแพทย์ พยาบาล ค่าใช้จ่ายต่างๆ ประชาชนที่ลงทะเบียนในระบบ Social security และมีการหักรายได้รายเดือน เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่าย ประเทศที่ใช้ระบบบริหารจัดการแบบนี้ คือ สหภาพอังกฤษ สเปน และโปรตุเกต

ระบบจัดการโดยเอกชน (The Bismarck or Privatized, but Regulated Model) เป็นระบบบริหารจัดการผ่านการซื้อประกันสุขภาพ อัตราเบี้ยประกันถูกควบคุมโดยรัฐ เบี้ยประกันจะถูกหักจากรายได้ประจำเดือน ผู้เอาประกันอาจต้องจ่ายเงินสมทบ (co-payment) สำหรับค่าบริการบางประเภท อีกทั้งรัฐอาจจ่ายเงินอุดหนุนบางส่วนให้กับผู้มีรายได้น้อย

ระบบที่จ่ายเงินเอง (The Out-of-Pocket Model) การบริหารรูปแบบนี้ ผู้เข้ารับบริการต้องจ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการเอกชน โดยไม่มีเงินอุดหนุนจากรัฐ ไม่มีการควบคุมอัตราเบี้ยประกันสุขภาพ

ในรายงาน Health Index Report ประจำปี 2023 มี 13 ประเทศในยุโรปได้รับคะแนนสูงใน 20 อันดับแรก นอร์เวย์อยู่ในอันดับ 7 และเป็นประเทศที่ได้รับคะแนนสูงสุดของประเทศต่างๆในยุโรป ตามมาด้วย ไอซ์แลนด์ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ เนเทอร์แลนด์ ลักเซมเบิกจ์ อิตาลี มอลตา และฝรั่งเศส

World Population Review นำเสนอข้อมูล 10 อันดับแรกของ Health Care Index การจัดลำดับของ CEOWORLD ปี 2024 ดังนี้ [https://worldpopulationreview.com/country-rankings/best-healthcare-in-the-world]

                       Health care index 2024

           1.Taiwan                78.7

2.South Korea        77.7

3.Australia              74.1

           4.Canada            71.3

           5.Sweden            70.7

           6.Ireland             68.0

           7.Netherlands     65.4

           8.Germany          64.7

           9.Norway            64.6

           10.Israel             61.7

ในรายงานเดียวกันนี้ Health Care Index สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ลำดับ 33

เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการจัดอันดับโดยหน่วยงานหลายแห่ง มีทั้ง CEOWORLD NUMBEO WHO ซึ่งใช้ข้อมูลต่างกัน และมีการเปลี่ยนแปลงในลำดับของแต่ละประเทศค่อนข้างมาก ข้อมูลข้างต้นจึงอาจใช้เชิงเปรียบเทียบเท่านั้น

บทความ Privatizing health care is not the answer: lessons from the United States โดย Marcia Angell  ตีพิมพ์ใน Canadian Medical Association Journal (CMAJ) [CMAJ. 2008 Oct 21;179(9):916–919. doi: 10.1503/cmaj.081177] เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายสำหรับระบบประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกากับคานาดา ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับระบบประกันสุขภาพในปี 2005 ในสหรัฐอเมริกาเท่ากับ US$6,697 โดยที่รัฐช่วยออกให้ US$4,048 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในคานาดาเป็น US$3,326 รัฐช่วยออกให้ US$2,322 ประชากรในประเทศคานาดาทุกคนรวมอยู่ในระบบประกันสุขภาพนี้ ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกามีประชากรราว 15% ไม่อยู่ในระบบประกันสุขภาพ ระบบประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกาดำเนินการโดยเอกชนและนักลงทุน การบริหารจัดการจึงเป็นลักษณะการบริหารสินค้า (commodity) ซึ่งมีเป้าหมายเป็นกำไร ไม่ใช่ลักษณะบริการสาธารณะ (social service) ขอบเขตของการรักษาพยาบาลขึ้นอยู่กับความสามารถที่ผู้เอาประกันจะจ่ายได้ ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการรักษาพยาบาล โดยทั่วไปผู้ที่มีความจำเป็นต้องการการรักษาพยาบาลมักจะเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถในการจ่าย จึงเป็นความขัดแย้งและทำให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลต่างๆในสหรัฐอเมริกาจึงมีการโฆษณาเพื่อรับผู้ป่วย (ลูกค้า) จำนวนมากที่มีความสามารถในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษา ตัวอย่างที่มักจะเกิดขึ้นคือ ผู้ป่วยที่รวยมักจะได้รับบริการ MRI ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น ในขณะที่ผู้ป่วยยากจนไม่ได้รับบริการ MRI ทั้งที่จำเป็น

ประเด็นสำคัญ

  1. ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนสำหรับระบบประกันสุขภาพในสหรัฐอเมริกาสูงราวสองเท่าของค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนสำหรับระบบประกันสุขภาพในคานาดา
  2. ระบบประกันสุขภาพในสหรัฐอเมริกาเป็นระบบที่ดำเนินการโดยเอกชน เป็นการบริหารจัดการสินค้าเพื่อผลกำไรผ่านธุรกิจประกันสุขภาพ และทำให้ผู้ที่ไม่สามารถชำระเบี้ยประกันสุขภาพได้ถูกกันออกจากระบบที่จะให้การรักษาพยาบาล
  3. ระบบประกันสุขภาพเอกชนซึ่งเป็นธุรกิจเพื่อผลกำไร มักจะทำให้ต้นทุนการรักษาพยาบาลแพงกว่าระบบประกันสุขภาพที่ดำเนินการโดยรัฐซึ่งเป็นบริการสาธารณะ
  4. ถ้าให้มีระบบของเอกชนมาร่วมด้วย จะทำให้การบริการเร็วขึ้น แต่จะช่วยในระยะสั้นเท่านั้น
  5. ถ้ามีระบบของเอกชนมาร่วมด้วย จะมีการถ่ายเททรัพยากรทางการแพทย์ไปสู่ระบบของเอกชน และทำให้ต้นทุนโดยรวมเพิ่มขึ้น
  6. ระบบประกันสุขภาพของคานาดายังต้องมีทรัพยากรเพิ่มขึ้น
โพสท์ใน ทั่วไป | ปิดความเห็น บน ระบบประกันสุขภาพ

ทฤษฎีความโง่เขลา

Dietrich Bonhoeffer เคยกล่าวไว้ว่า คนโง่นั้นอันตรายยิ่งกว่าคนชั่วเสียอีก นั่นก็เพราะว่า เรานั้นสามารถประท้วงหรือต่อสู้กับคนชั่วได้ เเต่สำหรับคนโง่นั้นเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย เราไม่สามารถใช้เหตุผลกับคนที่ไม่รับฟังอะไรเลยได้ เราได้นำงานเขียนที่มีชื่อเสียงของเขามาทำเป็นวีดีโอนี้เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงเพื่อเตือนสังคมให้ตระหนักว่ามันสามารถเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้บ้าง ถ้าคนบางประเภทมีอำนาจมากเกินไป Bonhoeffer เขียนจดหมายในระหว่างที่อยู่ในสถานกักกัน อธิบายเหตุผลทำไมความโง่เขลาจึงเป็นอันตรายมากกว่าความชั่วร้ายอื่นๆ ว่า “เราสามารถป้องกันการกระทำที่ชั่วร้ายได้โดยการบังคับไม่ให้มีการกระทำนั้นๆ แต่กับคนโง่เขลาเราไม่สามารถแจกแจงเหตุผลได้ เหมือนพูดให้คนหูหนวกฟัง”

เมื่อคนโง่เขลาไม่สามารถโต้เถียงด้วยเหตุผล มักจะหลีกเลี่ยงที่จะคำนึงถึงผลที่จะตามมา หรืออ้างว่าเป็นการบังเอิญไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของเขา ซึ่งเป็นการอธิบายตามความพอใจของตนเอง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของความโง่เขลา

-ความโง่เขลาไม่ใช่ความบกพร่องทางความคิดหาเหตุผล คนเก่งที่มีความสามารถในการหาเหตุผลเพื่ออธิบายเรื่องราวต่างๆ ก็อาจเป็นคนโง่เขลาได้

-ความโง่เขลาไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรม แต่เป็นอิทธิพลของสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม และผลจากความยินยอมให้สิ่งเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลในตัวของเขา

Dietrich Bonhoeffer เป็นชาวเยอรมัน มีชีวิตอยู่ระหว่าง  4 February 1906 – 9 April 1945 เป็นคนหนึ่งในกลุ่มต่อต้านนาซี ถูก Gestapo จับในเดือน April 1943 ในข้อหามีส่วนร่วมในการวางแผนลอบสังหาร Adolf Hitler ในที่สุดถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอเมื่อวันที่ 9 April 1945 ในค่ายกักกัน Flossenbürg concentration camp เพียงสองสัปดาห์ก่อนที่ค่ายนี้จะได้รับการปลดปล่อยโดยทหารอเมริกัน

CARLO M. CIPOLLA นำเสนอ THE BASIC LAWS OF HUMAN STUPIDITY  เป็นข้อๆ 5 ข้อ ดังนี้

1.คนส่วนใหญ่มักประเมินจำนวนคนโง่ต่ำกว่าความจริง

2.ความโง่เขลาไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคลิกของบุคคล

3.คนโง่มักสร้างความเสียหายให้คนอื่นโดยที่ตนเองไม่ได้ประโยชน์ หรืออาจทำให้ตนเองเดือดร้อน

4.คนไม่โง่มักจะประเมินความสามารถในการสร้างความเสียหายของคนโง่ต่ำเกินไป

5.คนโง่เป็นอันตรายต่อสังคมยิ่งกว่าโจรหรือคนร้ายอื่นๆ

Manfred F. R. Kets de Vries แนะนำวิธีรับมือคนโง่ ไว้ดังนี้

-ส่งเสริมให้มีการคิดและตรวจสอบข้อมูล ความรู้ แบบ Reflective thinking เพื่อทำความเข้าใจและเรียนรู้จากประสบการณ์ 

-การเรียนรู้และตระหนักในการกระทำของตนเองอยู่เสมอช่วยลดความรู้สึกต่อต้านการกระทำตามตรรกะที่มีเหตุผล และช่วยทำให้ตระหนักในการกระทำของตนเองตลอดเวลา

-ความเชื่อมั่นในตัวเองที่มากเกินพอดีทำให้หลงตัวเองและไม่สนใจต่อความคิดเห็นของคนอื่น จึงอาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้คนเหล่านี้มีบทบาทในสังคม

-การกระตุ้นให้เกิด Reflective thinking ด้วยการเปรียบเทียบ ช่วยให้คนหลงตัวเองลดความเชื่อมั่นในตนเองลงได้บ้าง และยอมรับฟังความเห็นอื่นๆ

-เรียนรู้ด้วยการทดลองทำจริง เพื่อให้เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้น เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง

-อีกวิธืหนึ่งที่อาจช่วยให้เกิดการเรียนรู้ คือการทำให้ดูเพื่อเป็นตัวอย่าง วิธีนี้ช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการลองผิดลองถูก

โพสท์ใน ทั่วไป | ปิดความเห็น บน ทฤษฎีความโง่เขลา

ใครควรทำประกันชีวิต

ด้วยสามัญสำนึก คนที่ควรทำประกันชีวิตมากที่สุด คือคนที่ต้องรับภาระในชีวิตการเป็นอยู่ของผู้อื่น ถ้ามีเหตุให้ผู้ที่แบกภาระนั้นอยู่ต้องมีเหตุเป็นไป ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากกรมธรรม์ประกันชีวิตจะช่วยบรรเทาภาระความรับผิดชอบนี้ได้ ลองเปรียบเทียบคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงาน กับคนที่อยู่ในวัยใกล้เกษียร ใครมีภาระมากกว่ากัน คงเปรียบเทียบได้ไม่ง่ายนัก แต่อย่าลืมว่าคนที่ทำงานมานานแล้วมักมีทรัพย์สินสะสมอยู่พอสมควร ในขณะที่คนหนุ่มสาวที่เพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงาน ยังสะสมทรัพย์สินได้ไม่มาก มีแต่พ่อแม่ที่ชราภาพแล้วคอยชะเง้อหาลูก ถ้ามีสติ ควรเริ่มหาหลักประกันให้พ่อแม่บ้าง อย่ารีบสะสมโทรศัพท์มือถือหรือรถยนต์

              และหากอยากรู้ว่าควรทำประกันชีวิตเท่าไร อาจลองคำนวณดูด้วยวิธี Human Life Value

โพสท์ใน ทั่วไป | ปิดความเห็น บน ใครควรทำประกันชีวิต

ระบบรักษาพยาบาลชุมชนในประเทศสิงคโปร์ (CHAS)

ในประเทศสิงคโปร์มีโปรแกรมช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลสำหรับประชาชน พอจะเทียบเคียงกับกองทุนบัตรทองของไทย ชื่อ CHAS ย่อมาจาก Community Health Assist Scheme จึงน่าสนใจที่จะนำมาเปรียบเทียบกัน นำข้อดีมาปรับปรุงกองทุนบัตรทองของเรา ข้อมูลจากเวปไซต์ CHAS (https://www.chas.sg/pages/default.aspx) พอจะสรุปได้ว่า

ผู้มีสิทธิที่จะขอรับเงินช่วยเหลือ

พลเมืองของประเทศสิงคโปร์และผู้ที่ได้รับอนุญาตให้พำนักอย่างถาวรทุกคนมีสิทธิที่จะขอรับเงินช่วยเหลือ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับตามรายได้ และจะได้รับบัตร CHAS ตามสี ดังนี้

1.บัตรสีเขียว (CHAS Green)             ครอบครัวที่มีรายได้จากเงินเดือน หรือธุรกิจส่วนตัว เฉลี่ยอย่างน้อย 2,300 เหรียญสิงคโปร์ต่อคนต่อเดือน

                                                                ครอบครัวที่มีรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สินอย่างน้อย 31,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี

2.บัตรสีส้ม (CHAS Orange)              ครอบครัวที่มีรายได้จากเงินเดือน หรือธุรกิจส่วนตัว เฉลี่ยระหว่าง 1,501-2,300 เหรียญสิงคโปร์ต่อคนต่อเดือน

                                                                ครอบครัวที่มีรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สินระหว่าง 21,001-31,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี

3.บัตรสีน้ำเงิน (CHAS Blue)               ครอบครัวที่มีรายได้จากเงินเดือน หรือธุรกิจส่วนตัว เฉลี่ยไม่เกิน 1,500 เหรียญสิงคโปร์ต่อคนต่อเดือน

                                                                ครอบครัวที่มีรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สินไม่เกิน 21,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี

นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรม Pioneer Generation และ Merdeka Generation สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งจะเล่าให้ฟังภายหลัง

สิทธิประโยชน์

CHAS ไม่จ่ายให้ทั้งหมด แต่จะช่วยจ่ายให้บางส่วนตามชนิดของการ์ดและโรค ดังนี้

ผู้ถือ CHAS card มีสิทธิประโยชน์ในการเข้ารับการรักษาพยาบาลและรักษาฟันตามคลินิกที่ร่วมโครงการ

เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มผู้ถือบัตรเขียวเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่าอีกสองกลุ่ม แต่กลับได้รับสิทธิเงินช่วยเหลือน้อยกว่า

และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นในการเปรียบเทียบ อาจจะใช้ค่าแรงขั้นต่ำราว 1,600 เหรียญสิงคโปร์ต่อเดือนเป็นตัวเปรียบเทียบ [ข้อมูลจาก Ministry of Manpower, www.mom.gov.sg]

เงินอุดหนุนจากภาครัฐสำหรับโรคทั่วไป สูงสุดไม่เกิน 18.50 เหรียญสิงคโปร์ต่อครั้ง หรือ 1.16% ของค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือน

เงินอุดหนุนจากภาครัฐสำหรับโรคเรื้อรัง สูงสุดไม่เกิน 80 เหรียญสิงคโปร์ต่อครั้ง หรือ 5% ของค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือน และ สูงสุดไม่เกิน 300 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี หรือ 1.16% ของค่าแรงขั้นต่ำทั้งปี

สำหรับการรักษาโรคฟัน บัตรเขียวจะไม่สามารถใช้สิทธิเงินช่วยเหลือได้เลย ส่วนบัตรสีส้มและบัตรสีน้ำเงิน สามารถใช้สิทธิเงินช่วยเหลือ ดังนี้

กองทุนบัตรทอง

มาดูงบประมาณกองทุนบัตรทองของไทยบ้าง โดยเรียงจากมากไปน้อย

                -งบทั้งหมดสำหรับปี พ.ศ.2568 เท่ากับ 236,386.52 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น

                -งบเหมาจ่ายรายหัว 181,841.84 ล้านบาท

                -งบสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 25,383.96 ล้านบาท

                -งบผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 13,506.17 ล้านบาท

                -งบบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5,953.42 ล้านบาท

                -งบผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ 4,209.45 ล้านบาท

                -งบเพิ่มเติมบริการระดับปฐมภูมิ 2,181.23 ล้านบาท

                -งบเพิ่มเติมหน่วยบริการพื้นที่กันดาร-เสี่ยงภัยและจังหวัดชายแดนใต้ 1,490.29 ล้านบาท

                -งบบริการควบคุมป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง 1,298.92 ล้านบาท

                -งบช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับผู้รับบริการและผู้ให้บริการ 522.92 ล้านบาท

มีผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 47.157 ล้านคน ดังนั้นงบเหมาจ่ายเฉลี่ยรายหัวในปี พ.ศ. 2568 เป็น 3,856.08 บาท

ซึ่งเทียบกับรายได้ขั้นต่ำเฉลี่ย 20,000 บาทต่อเดือนต่อคน หรือ 240,000 บาทต่อปีต่อคน งบเหมาจ่ายเฉลี่ยรายหัวจะเป็น 1.6 %

ภาพจาก: The Coverage [https://www.thecoverage.info/news/content/7975]

น่าจะเป็นข้อมูลให้เปรียบเทียบว่ากองทุนบัตรทองของเราเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับระบบที่ใกล้เคียงกัน แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าในประเทศสิงคโปร์มีระบบ CPF อีกด้วย ซึ่งโอกาสหน้าจะเล่าให้ฟัง

โพสท์ใน ทั่วไป | ปิดความเห็น บน ระบบรักษาพยาบาลชุมชนในประเทศสิงคโปร์ (CHAS)

สต็อกโฮล์ม ซินโดรม (Stockholm Syndrome)

Stockholm Syndrome (สต็อกโฮล์ม ซินโดรม) เป็นอาการของคนที่ตกเป็นเชลยหรือตัวประกันเกิดมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนที่เป็นคนร้ายหลังจากต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง และอาจจะลงเอยด้วยการแสดงอาการปกป้องคนร้ายหรือยอมเป็นพวกเดียวกันด้วยซ้ำ อาการที่ว่านี้นักจิตวิทยาตั้งขึ้นตามคดีปล้นธนาคารที่เกิดขึ้นในกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดนในปี ค.ศ. 1973  คนร้ายยึดธนาคารเป็นเวลา 6 วัน  ก่อนที่จะถูกตำรวจจับ หลังจากที่ตัวประกันถูกปล่อยตัว   เจ้าหน้าที่และลูกค้าธนาคารซึ่งถูกจับเป็นตัวประกันเริ่มเห็นใจโจร   เมื่อตำรวจบุกเข้าไปตัวประกันพยายามปกป้องโจรด้วยซ้ำ   (เหตุการณ์ปล้นครั้งนั้นกลายเป็นพล็อตหนังเรื่อง “ปล้นกลางแดด” หรือ Dog Days Afternoon  ที่มีอัลปา ชีโน่เป็นดารานำ) บางคนปฏิเสธที่จะให้การกับศาล บางคนถึงกับเรี่ยรายเงินเพื่อนำไปช่วยคนร้ายในระหว่างการดำเนินคดี จึงเป็นที่มาของคำว่า “Stockholm syndrome” ภาพยนตร์ที่นำ Stochkolm syndrome ไปเป็นพล็อตเรื่อง เช่น Highway (India) จำเลยรัก (ไทย)

อาการของ Stockholm syndrome หลักๆคือ

          -มีความรู้สึกที่ดีกับคนร้าย

          -มีความรู้สึกต่อต้านต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า เป็นพฤติกรรมที่ทางธรรม เรียกว่า เห็นผิดเป็นชอบ   เกิดจากความใจอ่อน สงสารสัตว์โลกผู้ชะตาตกต่ำ ประกอบกับ ได้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้ก่อการร้ายเป็นระยะเวลานาน กินข้าวหม้อเดียวกัน – นอนเตียงเดียวกัน มิได้ถูกข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย หรือ พูดจาประชด ถากถาง แม้แต่น้อย  จึงเกิดความสงสาร เห็นใจ หันมาเข้าข้างเค้าซะเลย
          กลุ่มอาการ Stockholm syndrome เป็นคำอธิบายถึงอาการอย่างหนึ่งที่ตัวประกันเกิดความสัมพันธ์ทางใจกับผู้ลักพาตัวในระหว่างการถูกกักขัง ความสัมพันธ์ทางอารมณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างผู้จับกับเชลยในช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกัน แต่นี่อาจถือได้ว่าไม่มีสัญญาณด้านอันตรายหรือเกิดความเสี่ยงอันตรายต่อเหยื่อ กลุ่มอาการสต็อกโฮล์มไม่อยู่ในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต เนื่องจากขาดการวิจัยเชิงวิชาการ กลุ่มอาการนี่พบเห็นได้ยาก จากข้อมูลของระบบฐานข้อมูลการจับตัวประกัน ของสำนักงานสอบสวนกลาง และ Law Enforcement Bulletin ประเมินว่าพบการลักพาตัวประเภทนี้น้อยกว่า 5%

          คำนี้มีการใช้ครั้งแรกโดยสื่อมวลชนในปี ค.ศ.1973 เมื่อมีการจับตัวประกัน 4 คนระหว่างการปล้นธนาคาร ที่สต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ตัวประกันได้ปกป้องผู้จับตัวพวกเขาหลังถูกปล่อยตัวและยังไม่ยอมเป็นพยานต่อศาลด้วย 

สี่องค์ประกอบสำคัญที่แสดงคุณลักษณะของกลุ่มอาการสต็อกโฮล์ม คือ

  • ตัวประกันมีความรู้สึกที่ดีต่อผู้จับตัว
  • ไม่มีความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ระหว่างตัวประกันและผู้จับตัว
  • ตัวประกันไม่ให้ความช่วยเหลือต่อตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐบาล (เว้นแต่ผู้จับตัวจะถูกตำรวจบังคับ)
  • ตัวประกันเห็นถึงมนุษยธรรมในผู้จับตัว เพราะพวกเขาไม่ได้ถูกคุกคาม เพียงอยู่ในฐานะเป็นผู้บุกรุก

มีความพยายามจะอธิบายสาเหตุของ Stockholm syndrome เช่น

          -เป็นสำนึกผูกพันที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งถูกกดขี่โดยชนชั้นที่มีอำนาจ บ้างถูกจับ ทำร้าย ถึงแกชีวิตก็มี

          -ผู้ถูกควบคุมตัวมักมีความเชื่อว่าจะถูกทำร้าย ไม่ทางหนึ่งทางใด เมื่อผู้ถูกควบคุมตัวไม่ถูกทำร้าย และบางทีได้รับการปฏิบัติที่ดีจากคนร้าย ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดี เห็นอกเห็นใจต่อคนร้าย

หากเริ่มมีความสงสัยว่าตนเองมีอาการ Stockholm syndrome และต้องการหลุดพ้นจากความรู้สึกดังกล่าว สามารถทำได้โดยวิธีต่อไปนี้

          -มีสติ ทำความเข้าใจกับวงจรที่ทำให้เกิดความรู้สึกดังกล่าว

          -สร้างกำแพงความรู้สึก หรือรักษาระยะห่างจากคนร้าย

          -ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

อ่านเพิ่มเติม:    1.Bay Area CBT Center, https://bayareacbtcenter.com/overcoming-stockholm-syndrome-with-san-francisco-therapists/

              2.Taylor & Francis, an informa business, https://taylorandfrancis.com/knowledge/Medicine_and_healthcare/Psychiatry/Stockholm_Syndrome/

              3.Viphavadt Hospital, https://www.vibhavadi.com/th/search?q=stockholm+syndrome

              4.Study.com, https://study.com/learn/lesson/stockholm-syndrome-symptoms-treatment-example.html

โพสท์ใน ทั่วไป | 1 ความเห็น

เตรียมตัวสำหรับกรณีวิกฤต

สถานการณ์ปัจจุบันในโลก มีวิกฤตการณ์เกิดถี่ขึ้น ทั้งภัยพิบัติจากธรรมชาติ และจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้เชื่อว่าวิกฤตการณ์เหล่านี้ใกล้ตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก ประชากรของโลกส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมวิกฤตการณ์นี้ได้ จึงน่าที่จะมีการเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตการณ์ ถึงจะไม่สามารถทำให้ไม่เกิดขึ้นได้ แต่การเตรียมตัวล่วงหน้าจะทำให้ผ่อนหนักเป็นเบา รัฐบาลของประเทศสวีเดนได้ประกาศเตือนให้ประชาชนในประเทศมีการเตรียมพร้อมรับวิกฤตการณ์ โดยเผยแพร่คู่มือซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเวปไซท์ https://rib.msb.se/filer/pdf/30874.pdf โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บางส่วนชองคู่มือน่าจะเป็นประโยชน์กับประชากรทั่วไป ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใด โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมภายในบ้าน จึงนำมาแบ่งปันกัน ควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อการดำรงชีพของคนในครอบครัวให้เพียงพออย่างน้อยสำหรับ 1 สัปดาห์ และอาจเตรียมเพิ่มอีกสำหรับกรณีที่เพื่อนบ้านมาขอความช่วยเหลือ

1.น้ำ – ควรเตรียมอย่างน้อย 3 ลิตรต่อคนต่อวัน เพื่อดื่มและประกอบอาหาร

2.อุปกรณ์ให้ความอบอุ่น – ผ้าห่ม ถุงนอน เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับประเทศในเขตหนาว แต่ประเทศในเขตร้อนอาจไม่จำเป็นมากนัก

3.อุปกรณ์สื่อสาร – วิทยุ โทรศัพท์มือถือ และอาจต้องเตรียมอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่แบบมือหมุนไว้ด้วย เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ ไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ด้วยวิธีปรกติได้

4.อาหาร – ควรเป็นอาหารที่เก็บรักษาได้ที่อุณหภูมิห้อง เพราะอาจจะไม่มีไฟฟ้าให้ตู้เย็นทำงานได้ อาหารควรเป็นชนิดที่เก็บไว้ได้เป็นเวลานาน นำมาปรุงได้ง่าย หรือพร้อมทานได้เลย

5.เงิน – ควรเตรียมเงินสดให้พอใช้จ่ายได้ 1 สัปดาห์ และอาจเก็บบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตไว้ใกล้ตัว

6.ส้วม – มีความสำคัญและจำเป็นมาก จึงควรต้องมีการเตรียมพร้อม ปัสสาวะยังคงทำได้ในส้วมปรกติ แม้จะไม่มีน้ำราด แต่ควรแยกอุจจาระและกระดาษชำระใช้แล้วไว้ในถุงพลาสติก ดังนั้นจึงควรเตรียมถุงขยะ ถุงพลาสติก กระดาษชำระทั้งแบบเปียกและแบบแห้ง ถ้าเป็นไปได้ อาจเตรียมขี้เลื่อย ผงถ่านไว้บ้าง เพื่อใช้ดับกลิ่น

7.อุปกรณ์อื่นๆ – เตาใช้ในการเดินทาง แก๊ซหัวพ่น น้ำมัน ยาสามัญประจำบ้าน อุปกรณ์ทำแผล ไม้ขีดไฟ ตะเกียง ไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉาย อุปกรณ์เปิดกระป๋อง อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่แบบมือหมุน

โพสท์ใน ทั่วไป | ปิดความเห็น บน เตรียมตัวสำหรับกรณีวิกฤต

ประเทศที่น่าอยู่ที่สุด ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ III

สถานการณ์โลกในปัจจุบันที่ตึงเครียดมาก ทำให้หลายคนเริ่มกังวลใจว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ ซึ่งคงไม่มีใครบอกได้ พวกเราคงได้แต่ภาวนาขออย่าได้เกิดขึ้นเลย หลายคนเริ่มมองหาประเทศที่ปลอดภัยจากภัยสงคราม บนเวปต์ไซท์ TIMESTRAVEL (https://timesofindia.indiatimes.com/travel/destinations/10-safest-countries-to-live-in-if-world-war-iii-happens/photostory/107912785.cms) แนะนำประเทศที่คาดว่าจะปลอดภัยและน่าอยู่อาศัยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 3 (ถ้าเกิดขึ้นจริง) 10 ประเทศ ดังนี้:

1 Antractica แอนตาร์ติกา (Antarctica) แม้ว่าจะไม่เป็นประเทศ บริเวณขั้วโลกใต้ที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและห่างไกลจากความเจริญในเมืองใหญ่ น่าจะไม่เป็นที่สนใจของประเทศคู่สงครามใดๆk

2 Fiji ประเทศ Fiji เป็นเกาะอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งสงบและไม่ถูกรบกวนด้วยอิทธิพลการเมืองมากนัก

3 Iceland ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำจืดและพลังงานหมุนเวียน จึงสามารถพึ่งพาตนเองได้เป็นอย่างดี

4 Greenland กรีนแลนด์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเดนมาร์ก แต่เป็นดินแดนปกครองตนเอง ที่อยู่ห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้มีโอกาสรอดพ้นจากการโจมตีในระหว่างสงคราม

5New Zealand แม้ว่าประเทศนิวซีแลนด์จะมีการพัฒนาอย่างมาก แต่อยู่ไกลออกไปทางขั้วโลกใต้

6 Bhutan ภูเขาที่ล้อมรอบประเทศภูถานเป็นเสมือนเกราะป้องกันอันตรายจากการโจมตีจากประเทศอื่นได้เป็นอย่างดี

7Ireland ประเทศไอร์แลนด์มีความอิสระในด้านนโยบายต่างประเทศ ไม่ขึ้นกับประเทศอังกฤษ

8 Switzerland เป็นที่รู้กันดีว่าประเทศสวิสเซอร์แลนด์ไม่มีเขตแดนติดทะเล และล้อมรอบด้วยภูเขา มีนโยบายเป็นกลางทางการเมือง

9 Indonesia อินโดนีเซียมีความพยายามวางตัวเป็นกลางทางการเมืองและมีภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะแยกจากประเทศอื่นๆ

10 Tuvalu ทูวาลูเป็นประเทศเล็ก ประชากรน้อย อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากประเทศอื่นๆ

โพสท์ใน ทั่วไป | ปิดความเห็น บน ประเทศที่น่าอยู่ที่สุด ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ III